

นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมากๆ สำหรับคนไทย เพราะคนไทยส่วนใหญ่มีอาชีพเป็นเกษตรกรชาวสวนชาวไร่อยู่เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทำเกษตรเกี่ยวกับ พืช ผัก หรือผลไม้ก็ตาม ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกผลไม้สำคัญของโลกอีกด้วย เมืองไทยทีผลไม้มากมายหลายร้อยชนิด จึงทำให้คนไทยได้ลิ้มรสกับความอร่อยของผลไม้แต่ละชนิดนั้นเอง ประเทศไทยมีผลไม้ทุกฤดู และผลไม้บางชนิดก็สามารถสาทานได้ทั้งฤดูเลยก็ว่าได้ เช่น ฝรั่ง , มะม่วง , ส้ม , แตงโม , มะพร้าว , มะละกอ ,กล้วย เป็นต้น เรียกได้ว่าคนไทยไม่มีคำว่าอด มีผลไม้กินตลอดทั้งปี จนบางประเทศยังต้องอิจฉาประเทศของเราเลยทีเดียว เราควรภูมิใจที่ได้เกิดมีบนพื้นแผ่นดินนี้ แผ่นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง ผลไม้ไม่ใช้แค่ผลไม้ทานเล่นเท่านั้นบางชนิดสามารถเอาไปทำเป็นกับข้าวได้ แปรรูปได้ และ นำไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อีกด้วย ยังไม่หมดเพียงเท่านี้
ถูมิใจที่ได้เกิดในผืนแผ่นดินไทย ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยผลไม้นานาชนิด แม้แต่คนต่างชาติยังต้องอิจฉา เพราะนอกจากเราจะมีผลไม้หลากหลายชนิดแล้วเรายังมีผลไม้กินตลอดทั้งปีทุกฤดูอีกด้วย ผลไม้คือของกินที่มีสารอาหารและเป็นแหล่งรวมคุณค่าทางอาหารที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ
1.ม็อกกิ้ง เทลส์ (Mocking Tales) 2. After You Dessert Cafe 3.Emack and Bolio’s Thailand 4.Sweet Monster Thailand 5.Stick House Thailand 6.ไอติมถัง Little Duck 7.Kanemochi Ice cream 8.Swensen’s (สเวนเซ่นส์) 9.Bell the cat milk & dessert cafe’ 10.ติมซิ้ม ไอติมเข่ง (Timsim Icecream)
เราคือคนไทย ที่เป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์และรวมไปด้วยของกินที่มาความหลากหลาย แสนอร่อย
0266584525127/4 ถ. ลาดพร้าว แขวง คลองจั่น เขต บางกะปิ กรุงเทพฯ 10240
แทงบอลสูตรสำคัญในการดูแลสุขภาพของทุกคนคือเรื่องของอาหาร ผลไม้จึงเป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่มักทานเพื่อให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ยิ่งใครเป็นสายคลีนหรือกำลังลดความอ้วนอยู่ การมองหาผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำยิ่งเป็นตัวช่วยชั้นดี มาดูกันว่า 10 ผลไม้เหมาะกับสายคลีน แคลอรีต่ำมีผลไม้ชนิดใดกันบ้าง
1.แคนตาลูป – ผลไม้รสชาติอร่อยที่ให้ 30 กิโลแคลอรีต่อ 8 ชิ้น ถือเป็นผลไม้ที่มีแคลอรีต่ำมากและเหมาะกับการทานเพื่อสายคลีนสุดๆ
2.แตงโม – ผลไม้โปรดของหลายคนยิ่งได้ทานเย็นๆ ยิ่งอร่อยมากกว่าเดิม สำหรับแตงโมให้พลังงาน 30 กิโลแคลอรีต่อ 100 กรัม จัดว่าทั้งอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูงแถมยังให้พลังงานน้อยมากจริง
3.แอปเปิล – ผลไม้แสนอร่อย รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดๆ มีความกรอบอยู่ในตัว นำมาดัดแปลงเป็นเมนูอาหารได้หลากหลาย ให้พลังงานเพียงแค่ 50 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม เท่านั้น ทั้งอร่อยและมีประโยชน์มาก
4.ส้มเขียวหวาน – สุดยอดผลไม้วิตามินซีสูง เชื่อว่าใครก็ต้องชอบส้มเขียวหวานกันแน่นอน ไม่ว่าจะคั้นดื่มหรือกินกันสดๆ สำหรับส้มเขียวหวานให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี จัดว่าให้พลังงานต่ำแถมยังช่วยสุขภาพได้อย่างดีเยี่ยม
5.สับปะรด – ผลไม้อีกชนิดที่ให้วิตามินซีสูงเช่นกัน รสชาติอร่อย มีหลายสายพันธุ์ให้เลือกขึ้นอยู่กับความนิยม ให้พลังงาน 50 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม ใครชอบรสชาติเปรี้ยวอมหวานต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน
6.แครนเบอร์รี่ – ผลไม้ที่อาจไม่ได้นิยมสำหรับคนไทยทั่วไปแต่เชื่อหรือไม่ว่าแครนเบอร์รี่ให้พลังงานต่ำมากแค่ 46 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม เท่านั้น ใครไม่เคยต้องลองกินดูแล้วจะรู้ว่าทั้งอร่อยและคลีนอย่างมาก
7.มะละกอ – ผลไม้ชนิดต่อมาคงคุ้นเคยกันดี มีรสชาติหวาน รสสัมผัสนุ่ม ยิ่งได้ทานหลังแช่เย็นยิ่งเป็นอะไรที่ละมุนลิ้นสุดๆ มะละกอให้พลังงานแค่ 60 กิโลแคลอรี ต่อ 8 ชิ้น ที่หั่นแบบพอดีคำ อีกทั้งยังช่วยเป็นยาระบายด้วย
8.กีวี – ผลไม้จากต่างประเทศแต่คนไทยก็ให้ความนิยมมาก รสชาติเปรี้ยวนำเหมาะสำหรับอากาศร้อนๆ ของบ้านเราทีเดียว ให้พลังงาน 60 กิโลแคลอรี ต่อ 100 กรัม เท่านั้น
9.เชอรี่ – สุดยอดผลไม้ที่หลายคนโปรดปราน ด้วยรสชาติเปรี้ยวอมหวานถือว่าเหมาะกับการกินในทุกโอกาสแถมให้พลังงานต่ำสุดๆ แค่ 60 กิโลแคลอรี ต่อการกินเชอรี่ 4 ผล
10.มะม่วงอกร่องสุก – สุดยอดผลไม้ไทยที่ใครก็หลงรัก แต่ใครอยากกินแบบคลีนๆ อย่าเอาไปกินกับข้าวเหนียวมูนเชียว สำหรับมะม่วงอกร่องสุกนี้ให้พลังงานแค่ 60 กิโลแคลอรี ต่อการกิน 4 ชิ้นเท่านั้น ทั้งอร่อยและแคลอรีต่ำสุดๆ ใครก็ต้องชอบทั้งนั้น
เสน่ห์อย่างหนึ่งของอาหารไทยก็คือ เป็นอาหารที่สามารถดัดแปลงเป็นเมนูที่น่าสนใจได้อย่างหลากหลาย มีความกลมกล่อมในด้านของรสชาติอาหารไม่ใช่จะยึดติดอยู่กับรสชาติใดรสชาติหนึ่ง การทำอาหารของคนไทยเองจึงค่อนข้างที่จะสามารถนำเอาวัตถุดิบต่างๆ ที่บางครั้งดูแล้วอาจไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไหร่นักมาแปรเปลี่ยนเป็นเมนูสุดพิเศษได้ คิดเอาง่ายๆ ว่ารสชาติของกับข้าวในส่วนของรสหวานกับรสเปรี้ยวมันอาจดูเป็นสิ่งที่ขนานกันแต่สำหรับคนไทยไม่มีอะไรยากเกินกว่าจะนำเอารสชาติทั้งสองนี้มารวมกันเป็น ผัดเปรี้ยวหวาน
วัตถุดิบและขั้นตอนการทำผัดเปรี้ยวหวาน
อันดับแรกต้องบอกก่อนว่าผัดเปรี้ยวหวานจัดเป็นอาหารคาวประเภทหนึ่งที่นิยมทานกับข้าวสวยร้อนๆ เป็นอาหารที่สามารถเลือกนำเอาเนื้อสัตว์ที่ต้องการมาใส่เป็นส่วนประกอบได้ค่อนข้างหลากหลายขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนว่าอยากเลือกนำเอาเนื้อสัตว์ประเภทไหนมาใช้ซึ่งในที่นี้จะขอแนะนำเป็นเนื้อหมู
เนื้อหมู, สับปะรด, มะเขือเทศ, แตงกวา, พริกใหญ่สีต่างๆ, หอมหัวใหญ่, กระเทียมสับ, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาลทราย, น้ำมันหอย, ซอสมะเขือเทศ, น้ำมันพืช, น้ำเปล่า
ขั้นตอนการทำผัดเปรี้ยวหวาน
1.หั่นเนื้อหมูให้เป็นชิ้นกำลังพอดีคำ ส่วนผักชนิดต่างๆ ก็ให้หั่นในลักษณะที่สามารถทานได้ง่ายวางเตรียมเอาไว้
2.ตั้งกระทะไฟปานกลางใส่น้ำมันพืชลงไปเล็กน้อยเมื่อน้ำมันเริ่มร้อนก็ให้ใส่กระเทียมสับลงไปผัด แต่อย่าผัดให้ไหม้เพราะจะขม
3.เมื่อผัดกระเทียมจนหอมได้ที่ก็ให้ใส่เนื้อหมูลงไปผัดให้เนื้อหมูเริ่มสุกเล็กน้อยจากนั้นก็ใส่ผักชนิดต่างๆ ลงไป โดยควรเรียงลำดับดังนี้ แตงกวา มะเขือเทศ พริกใหญ่สีต่างๆ หอมหัวใหญ่ และสับปะรด
4.ปรุงรสด้วยการใส่น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอยและซอสมะเขือเทศ เติมน้ำเปล่าเล็กน้อยเพื่อไม่ให้แห้งจนติดกระทะ
5.ผัดต่อไปเรื่อยๆ จนส่วนผสมต่างๆ เริ่มสุกจากนั้นก็ปิดไฟแล้วตักใส่จานก็เป็นอันเสร็จสิ้น
รสชาติที่อร่อยของผัดเปรี้ยวหวานจะต้องนำด้วยรสชาติเปรี้ยวจากซอสมะเขือเทศแล้วตัดหวานจากน้ำตาลกับผักชนิดต่างๆ แต่แนะนำว่าอย่าให้รสชาติใดรสชาติหนึ่งนำกันจนเกินไปเพราะมันจะไม่เกิดรสชาติผสมผสานที่ลงตัว อาจมีการตัดด้วยรสเค็มอีกเล็กน้อยบางคนชอบเผ็ดก็ใส่พริกลงไปให้มากก็จะได้รสชาติผัดเปรี้ยวหวานตามที่ต้องการ
การทำอาหารอย่างผัดเปรี้ยวหวานนี้ไม่ใช่เรื่องยากเพียงแค่รู้จักวิธีการนำเอาส่วนผสมชนิดต่างๆ มาใช้ได้อย่างถูกต้องก็จะสามารถทำอาหารอร่อยๆ เมนูนี้ได้กันทุกคน ระวังอย่างเดียวตอนเทซอสมะเขือเทศอย่าเทเยอะจนเกินไปเพราะรสชาติอาจเปลี่ยนไปได้
หากลองนึกถึงมันแกวเชื่อว่าหลายคนคงมองเจ้าวัตถุดิบชนิดนี้เป็นผลไม้อย่างแน่นอน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันแกวจัดเป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งมีรสชาติหวานอยู่ในตัวเอง คนส่วนใหญ่นิยมนำมาต้มให้สุกแล้วทานสดๆ แต่ก็มีหลายคนที่เลือกนำเอามันแกวมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหลากหลายชนิดแม้ส่วนใหญ่จะเน้นเป็นของหวานก็ตาม ทว่าการนำมันแกวมาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของอาหารคาวด้วยการนำมาทำเป็น ผัดมันแกว ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารที่น่าสนใจกันอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างที่กล่าวเอาไว้ในตอนต้นว่าส่วนมากแล้วคนทั่วไปมักจะนำเอามันแกวมาเป็นส่วนประกอบของอาหารหวาน แต่การที่มันแกวไม่ได้มีรสชาติหวานจนเกินไปทำให้สามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำอาหารคาวแสนอร่อยได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเมนูผัดมันแกวที่ว่านี้การเลือกใช้เนื้อสัตว์ก็จะขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของผู้ทำ พื้นฐานก็คือเนื้อหมูหรือหมูสับ แต่ถ้าหากว่าใครอยากใส่กุ้ง หมึก ไก่ ก็ไม่ใช่ปัญหาอีกเช่นเดียวกัน
วัตถุดิบในการทำผัดมันแกว
หมูสับ, มันแกว, แครอท, เห็ดหูหนู, ถั่วฝักยาว, กระเทียมสับ, น้ำปลา, น้ำตาลทราย, น้ำมันหอย, น้ำมันพืช
1.หั่นแครอทให้เป็นลูกเต๋า ซอยเห็ดหูหนูให้เป็นเส้นฝอย มันแกวหั่นให้เป็นแท่งเล็กๆ ถั่วฝักขาวหั่นเฉลียง
2.นำกระทะตั้งไฟปานกลางเทน้ำมันพืชลงไปไม่ต้องเยอะมาก เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ก็ใส่กระเทียมสับลงไปผัดให้หอม
3.เมื่อกระเทียมสุกได้ที่ก็ให้ใส่หมูสับที่เตรียมไว้ลงไปผัดให้เนื้อหมูเปลี่ยนสี
4.ใส่มันแกวตามลงไปผัดสักครู่เพื่อให้มันแกวเริ่มมีความนิ่มในตัวเอง
5.เมื่อมันแกวเริ่มนิ่มก็ให้ใส่แครอทหั่นเต๋า, เห็ดหูหนูซอย และถั่วฝักยาวหั่นเฉลียงลงไป จากนั้นก็ผัดให้ผักต่างๆ เริ่มสุก
6.ปรุงรสให้ได้ตามต้องการด้วยการใส่น้ำปลา, น้ำตาลทราย, น้ำมันหอย จากนั้นก็ผัดให้ได้รสชาติ
7.เมื่อผัดจนทุกอย่างสุกดีแล้วก็ตักใส่จากพร้อมเสิร์ฟ
รสชาติของผัดมันแกวก็จะออกเป็นรสชาติผัดผักทั่วไปคือมีรสเค็มจากเครื่องปรุงต่างๆ ตามด้วยรสหวานของผักและมันแกว ปกติแล้วเมนูนี้มักจะนิยมทานกับข้าวสวยร้อนๆ ให้คุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูงจากการที่มีผักหลากหลายชนิด ถือว่าเป็นเมนูที่มีความอร่อยในสไตล์ที่เป็นตัวเองอีกเมนูหนึ่ง ที่สำคัญยังสามารถทำได้แบบง่ายๆ ใครก็สามารถทำเมนูนี้ได้แถมอร่อยไม่ต่างกันด้วย
ผลไม้เมืองหนาวที่คนไทยค่อนข้างชื่นชอบ และให้ความนิยมเป็นอย่างมากก็คือ สตรอเบอร์รี่ ปกติแล้วการทานผลไม้ชนิดนี้ของคนทั่วไปก็จะเลือกทานกันแบบสดๆ หรือไม่ก็มีการนำไปแปรรูปเป็นส่วนผสมสำหรับอาหาร ขนม ชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกนำเอาไปทำอะไร แต่เชื่อหรือไม่ว่าความแปลกของสตรอเบอร์รี่ที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันมากนักคือนี่เป็นผลไม้ที่สามารถนำเอาไปทำเป็นยำเหมือนเวลาที่เราทานยำรวมมิตร ยำวุ้นเส้น ได้ด้วย แถมความอร่อยยังสุดกว่ายำจำพวกนั้นอีกหลายเท่าตัวด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้วการทำยำสตรอเบอร์รี่มันไม่ได้มีความแตกต่างไปจากการทำยำทั่วๆ ไปเลย มันคล้ายกับว่าเป็นการเปลี่ยนวัตถุดิบหลักจากสิ่งที่เราคุ้นเคยอย่างเนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ มาเป็นสตรอเบอร์รี่ผสมผสานกับของอร่อยหลายๆ ชนิดตามแต่ต้องการซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะเลือกนำเอาอะไรมาใส่ประกอบกันบ้างเพื่อให้เป็นไปตามความชื่นชอบของตัวเอง
สตรอเบอร์รี่สด, พริกขี้หนู, มะเขือเทศ, หอมหัวใหญ่, ใบคื่นช่าย, กุ้งปอกเปลือก, หมูสับ, น้ำปลา, มะนาว, น้ำตาลทราย
1.นำสตรอเบอร์รี่มาล้างให้สะอาดแล้วหั่นครึ่งในปริมาณตามที่ต้องการ
2.นำกุ้งที่ปอกเปลือกแล้วตัดหัว ดึงเส้นดำ แล้วลวกให้สุก เช่นเดียวกับหมูสับก็รวนให้สุกด้วยเหมือนกัน
3.มะเขือเทศผ่า 4 เสี้ยว หอมหัวใหญ่ซอยให้ชิ้นกำลังพองาม
4.ตำหรือปั่นพริกขี้หนูตามต้องการแล้วใส่ลงไปในถ้วยสำหรับยำ ปรุงรสด้วยน้ำปลา มะนาว น้ำตาลทราย ตามชอบ
5.เมื่อปรุงจนได้รสที่ต้องการก็ให้ใส่วัตถุดิบทั้งหมดลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน โรยด้วยใบคื่นช่ายเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จสิ้น
สิ่งแรกที่จะสามารถสัมผัสได้อย่างแน่นอนก็คือ รสชาติเปรี้ยวอมหวานของสตรอเบอร์รี่ ส่วนในเรื่องของรสชาติน้ำยำก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าชอบให้ยำมีรสชาติอย่างไร แต่รสชาติที่ดีที่สุดของยำก็ควรจะเป็นรสเปรี้ยวหวานนำผสมผสานกับความเผ็ดของพริกนิดหน่อยรับรองว่ายำสตรอเบอร์รี่ต้องเป็นเมนูที่ถูกใจใครหลายคน
การที่เรารู้จักนำวัตถุดิบต่างๆ มาแปรเปลี่ยนให้เป็นเมนูอันแปลกใหม่นับว่าเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างอะไรดีๆ ให้กับชีวิตได้อีกเยอะ ใครจะไปคิดว่าอย่างสตรอเบอร์รี่เองก็สามารถนำเอามาทำเป็นยำได้ถ้าหากว่ามีความคิดรู้จักการดัดแปลงวัตถุดิบต่างๆ ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
อาหารประจำชาติไทยที่นอกจากคนไทยแทบทุกคนจะต้องเคยทานแล้ว ชาวต่างชาติที่มายังเมืองไทยหรือเคยได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับอาหารไทยจะต้องรู้จักอาหารที่เรียกว่า ส้มตำ อย่างแน่นอน เพราะนี่คือ เมนูแสนอร่อยมีความครบถ้วนทั้งเรื่องของรสชาติและคุณค่าทางอาหาร จึงไม่แปลกที่ใตรต่อใครต่างก็นิยมชมชอบการทานส้มตำกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตามส้มตำโดยปกติแล้วก็คือการนำเอามะละกอดิบมาสับเป็นเส้นแล้วตำกับเครื่องเคราต่างๆ ตามใจคนทานว่าอยากให้ส้มตำออกมาเป็นลักษณะใด แต่ก็ยังมีตำอีประเภทที่จะต้องลืมภาพของส้มตำที่ใช้มะละกอไปได้เลย เพราะตำที่ว่านี้ก็คือ ส้มตำผลไม้รวม
การทำส้มตำผลไม้รวมไมได้มีอะไรยุ่งยากอย่างที่คิด ที่สำคัญสามารถเลือกผลไม้ที่ตเนองชื่นชอบมาเป็นส่วนประกอบในการทำได้อีกต่างหาก ส่วนรสชาติก็เรียกได้ว่าตามใจชอบกันเลยทีดียว
ผลไม้ตามชอบ อาทิ แอปเปิ้ล, ส้ม, องุ่น, แก้วมังกร, ฝรั่ง, สับปะรด เป็นต้น, มะเขือเทศ, แครอทฝอย, กระเทียม, กุ้งแห้ง, พริกขี้หนู, น้ำปลา, มะนาว, น้ำตาลปี๊บ, ถั่วลิสง
1.นำกระเทียมกับพริกขี้หนูใส่ในครกแล้วโขลกให้พอแตกหากใครชอบเผ็ดก็ใส่พริกเยอะหน่อยได้
2.นำผลไมมาหั่นให้เป็นชิ้นพอดีคำจากนั้นก็นำใส่ครก ตามด้วยมะเขือเทศหั่น 4 แครอทฝอย กุ้งแห้ง โขลกเบาๆ อย่าแรงเพราะจะทำให้ผลไม้ช้ำและดูไม่น่าทาน บางคนเลือกใช้วิธีการคนด้วยซ้ำ
3.ปรุงรสชาติตามใจชอบด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ, น้ำมะนาว จากนั้นก็คนเบาๆ ให้รสชาติกลมกล่อมเข้ากันเป็นอย่างดี
4.โรยถั่วลิสงลงไปคนให้พอทั่ว ตักใส่จานเสิร์ฟ
รสชาติของส้มตำผลไม้รวมจะขึ้นอยู่กับความชื่นชอบในรสชาติสว่นตัวของแต่ละคนว่าอยากให้รสชาติออกมาแบบใด แต่ถ้าหากให้กลมกล่อมเป็นมาตรฐานก็จะเผ็ดนิดๆ หวานตาม มีรสเปรี้ยวบ้างเล็กน้อย จะทำให้ได้รสชาติของส้มตำผลไม้รวมที่มีความกลมกล่อมอย่างมาก นอกจากนี้ยังจะได้รสชาติต่างๆ จากผลไม้ที่เราใส่ลงไปด้วย จัดว่าเป็นเมนูที่อร่อยอย่างมาก
การทำส้มตำผลไม้รวมไม่ได้เป็นเรื่องยาก บางคนกลัวว่าตนเองตำส้มตำไม่เป็นจะสามารถทำเมนูนี้ได้หรือไม่หากได้ลองอ่านวิธีการทำแล้วจะรู้ทันทีว่าใครก็สามารถทำได้ทั้งนั้น นอกจากนี้ยังสามารถปรับรสชาติรวมถึงเลือกผลไม้ให้เป็นไปตามที่ตนเองชอบได้อีกต่างหาก เป็นเมนูที่แนะนำว่าต้องลองทำทานเอง